วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

กรณีศึกษาอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จ

กรณีศึกษาอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จ บริษัท DHL Express มีตัวอย่างความสำเร็จดังนี้

1. มีระบบ Network ครอบคลุมทั่วโลก และให้บริการลูกค้าแบบ Door-to-Door Service
ตั้งแต่ต้นทาง ถึงผู้รับปลายทาง

2. มีการขยายฐานเจาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
เมื่อขยายฐานลูกค้ามายังกลุ่มผู้ประกอบการ SME หลังจากโฟกัสแต่ลูกค้าองค์กรใหญ่มาตลอด
ทำให้ “DHL” ต้องปรับเปลี่ยนองค์กร และ Mindset ให้คิด
และดำเนินธุรกิจบน “Customer Centricity”

3. มีพันธมิตรธุรกิจเพิ่มขึ้นครอบคลุมทั่วโลก

4. มีการใช้เทคโนโลยีที่ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ

5. มีบุคลากรที่มีความสามารถ

บริษัท DHL Express ได้เข้าสู่สนามการแข่งขัน ที่มีความท้าทายในยุคดิจิทัล กับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ สร้างโอกาสธุรกิจมากมาย แต่ในเวลาเดียวกันก็มาพร้อมกับการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะยักษ์อี คอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba ที่เริ่มขยายฐานธุรกิจโลจิสติกส์ไปยังทวีป – ประเทศต่างๆ ทั่วโลก

“โลจิสติกส์” (Logistic) ถือเป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ ยิ่งทุกวันนี้เป็นยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายไปอยู่บน “อีคอมเมิร์ซ” (e-Commerce) มากขึ้นที่ทำให้ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนประเทศ และอุปสรรคการซื้อขายอีกต่อไป

“eMarketer” คาดการณ์ว่าในปี 2019 มูลค่าธุรกิจ Retail e-Commerce ทั่วโลก จะอยู่ที่ 3,535 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 20.7% และประมาณการณ์ว่าในปี 2023 มูลค่าจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 6,542 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ที่น่าสนใจคือ จากทวีปทั่วโลก “เอเชีย แปซิฟิก” มีอัตราการเติบโตของธุรกิจ Retail e-Commerce สูงสุด อยู่ที่ 25% ตามมาด้วยลาติน อเมริกา 21.3%, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 21.3%

ยิ่งตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกขยายตัวมากเท่าไร สิ่งที่ตามมาคือ “ธุรกิจโลจิสติกส์” ต้องพัฒนาระบบ “E-Logistic” ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และทำให้ “โลจิสติกส์ระหว่างประเทศ” (Cross-border Logistic) เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ecommerce update 2020 อีคอมเมิร์ซ ข้อมูลปีล่าสุด 2563

ecommerce update 2020 อีคอมเมิร์ซ ข้อมูลปีล่าสุด 2563

Digital Transformation คือการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีมาส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านโมเดลการทำธุรกิจ จนธุรกิจหลายอย่างต้องล้มหายตายจากไป ดังนั้นสิ่งที่องค์กรจะต้องทำเพื่อความอยู่รอดจึงมีเพียงการอ้าแขนโอบรับ Digital Transformation เท่านั้น

บริษัท IBM ได้ทำสถิติจดสิทธิบัตรไปมากที่สุดในโลกถึง 9,100 ใบเมื่อปีที่แล้ว ได้ทำการศึกษาในช่วงปลายปี 2017 ด้วยการพูดคุยกับผู้บริหารระดับ C-Level ทั่วโลก เกี่ยวกับมุมมองและแนวคิดในการนำพาองค์กรไปข้างหน้า พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในช่วงปี 2015 สิ่งที่คนในแวดวงธุรกิจต่างพากันหวาดกลัวก็คือกลุ่มธุรกิจ startup ที่เกิดและเติบโตรวดเร็ว แต่ข้อมูลใหม่กลับชี้ให้เห็นว่า คนที่พลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายที่คนอื่นต้องหวาดกลัวกลับกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเดิมที่อยู่ในวงการมานานแล้ว เนื่องจากเจ้าของธุรกิจกลุ่มนี้มีสิ่งที่นับเป็นขุมทรัพย์ที่ธุรกิจใหม่ๆ ไม่มี ซึ่งก็คือ “ข้อมูล” นั่นเอง


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

#Coronavirus #ไวรัสโคโรนา #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)

#Coronavirus #ไวรัสโคโรนา #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)
Coronavirus หมายถึงสปีชีส์ต่าง ๆ ของไวรัสในจีนัสที่อยู่ในวงศ์ย่อย Coronavirinae และ Tonovirinae ในวงศ์ Coronaviridae ในอันดับ Nidovirales[1][2] เป็นไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม (enveloped) มีจีโนมเป็นอาร์เอ็นเอ โพซิทีฟเซนส์ มีนิวคลีโอแคปซิดที่มีสมมาตรแบบเฮลิกซ์ ขนาดจีโนมของไวรัสเหล่านี้มีตั้งแต่ 26-32 กิโลเบส ซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ

ชื่อ "coronavirus" มาจากคำในภาษาละติน corona และภาษากรีก κορώνη ที่แปลว่ามงกุฎหรือรัศมี ในที่นี้หมายถึงลักษณะของตัวไวรัสที่มองเห็นจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีผิวยื่นเป็นแฉก ๆ เหมือนกับรัศมีของดวงอาทิตย์ ลักษณะนี้ถูกสร้างโดยเพโพลเมอร์สไปค์ (S) ของไวรัส ซึ่งเป็นโปรตีนที่กระจุกตัวอยู่บนผิวไวรัส และเป็นตัวกำหนดการโน้มตอบสนองของโฮสต์

โปรตีนที่ประกอบเป็นโครงสร้างโดยรวมของโคโรนาไวรัสคือ สไปค์ (S), เอนเวลโลป (E), เมมเบรน (M) และ นิวคลิโอแคพซิด (N) โคโรนาไวรัสบางชนิด (โดยเฉพาะสมาชิกของเบตาโคโรนาไวรัสกลุ่มย่อย เอ) จะมีโปรตีนคล้ายเข็มสั้น ๆ ที่เรียกว่า ฮีแมกกลูตินิน เอสเตอเรส (HE)[1]

เกาะติดสถานการณ์ข่าว #Coronavirus #ไวรัสโคโรนา #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)
กระทรวงสาธารณสุขของจีนประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) อยู่ที่ 830 ราย ซึ่งสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 25 ราย โดยจำนวน 24 รายพบในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน อีก 1 ราย พบในมณฑลเหอเป่ย ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เสียชีวิตนอกเมืองอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ย ขณะที่พบผู้ต้องสงสัยคาดว่าติดเชื้อไวรัส อีก 1,072 ราย และมีผู้ที่ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว 34 ราย

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนา เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศจีน แต่ยังไม่ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขระดับโลก จึงยังคงไม่ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

#Coronavirus #ไวรัสโคโรนา #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)

#Coronavirus #ไวรัสโคโรนา #เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV)